Sunday, November 2, 2025

คนไทยใจนักเรียน

 https://www.sanook.com/news/9854018/

แผนการกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับทักษะภาษา แต่ตามรายงานของเว็บไซต์ SOHA ล่าสุดอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้ออกมาเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เกิดผลจริง และการเรียนรู้อาจยังคง "ย่ำอยู่กับที่" หากระบบการศึกษาไม่ยอมเปลี่ยนจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่

อาจารย์ท่านนี้ให้ความเห็นว่า แม้นักเรียนจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเร็วขึ้น แต่ปัญหาหลักคือระบบการประเมินผลที่ผิดพลาด นักเรียนส่วนใหญ่ถูกวัดผลจากความรู้ด้านไวยากรณ์ (Grammar) เพียงเล็กน้อยผ่านข้อสอบปรนัย ทำให้ความสามารถที่แท้จริงไม่ได้รับการตรวจสอบ

ปัญหาหลักที่ทำให้ภาษาอังกฤษไม่ก้าวหน้า

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ระบบการประเมินที่เน้นเพียงแค่ "รูปแบบ" (Form) และไม่ให้ความสำคัญกับ "ความสามารถ" (Competency) ไม่มีการตรวจสอบทักษะสำคัญอย่างการฟัง การพูด การทำความเข้าใจ หรือการแสดงออกอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงสามารถสำเร็จการศึกษาได้ แม้จะไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษจริง สิ่งที่ได้รับการยอมรับคือ "วุฒิการศึกษา" ไม่ใช่ "ความสามารถ" ที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

ขาดสภาพแวดล้อมและการใช้งานจริงคือต้นตอ

สาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ การขาดสภาพแวดล้อมและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษถูกแยกออกจากชีวิตจริงของผู้เรียน ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้ในการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติ

ผู้เรียนจึงไม่ได้รับโอกาสในการฟังสำเนียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้เรียนรู้วิธีการพูดเป็นวลี หรือการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ทำให้เกิดภาวะที่ "รู้คำศัพท์มากมาย แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้" นี่คือจุดที่เราต้องเลือกหนทางที่แตกต่างออกไป

ONET: อังกฤษ
อัสนี
กรุณาให้ข้อมูลละเดียดของข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษโอเน็ตที่ใช้ในประเทศไทยเป็นข้อสอบสากลหรือไม่ ได้ผลเป็นประโยชน์จริงเพียงไรในระบบการศึกษาไทย และเป็นที่รับเพื่อการศึกษาในประเทศใด มีใช้ในประเทศไทยสำหรับการเรียนระดับไหนบ้าง จะดาวน์โหลดข้อสอบของ 5 ปีที่ผ่านมาได้ที่ใดบ้าง

ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ O-NET (Ordinary National Educational Test) เป็นข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของประเทศไทยที่ดำเนินการโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. (NIETS) ข้อมูลรายละเอียดมีดังนี้: 
1. เป็นข้อสอบสากลหรือไม่
ไม่ใช่ข้อสอบสากล 
  • ข้อสอบ O-NET เป็นข้อสอบระดับชาติที่ออกแบบตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย เพื่อวัดมาตรฐานความรู้ของนักเรียนไทยทั่วประเทศ
  • แตกต่างจากข้อสอบสากล เช่น TOEFLIELTSTOEIC ที่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
  • ผลคะแนน O-NET ไม่สามารถนำไปใช้ยื่นเพื่อการศึกษาต่อในต่างประเทศได้โดยตรง เนื่องจากประเทศอื่นส่วนใหญ่ไม่ยอมรับผลสอบนี้ 
2. ผลเป็นประโยชน์จริงเพียงไรในระบบการศึกษาไทย
ผลสอบ O-NET มีประโยชน์หลายด้านในระบบการศึกษาไทย: 
  • ประเมินคุณภาพการศึกษา: ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินคุณภาพของโรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา และระดับประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอน
  • ใช้ในระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย (TCAS): ในระดับชั้น ม.6 คะแนน O-NET เคยมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แต่ในปัจจุบัน บทบาทนี้ลดลงและมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การใช้คะแนนตามแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด
  • การพัฒนาตนเองของนักเรียนและครู: นักเรียนสามารถนำผลคะแนนไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยระดับประเทศเพื่อประเมินความสามารถของตนเอง ขณะที่ครูและผู้บริหารสามารถนำข้อมูลไปวางแผนพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • การจบการศึกษา: ผลสอบ O-NET เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การจบการศึกษาในบางระดับชั้น (ในอดีต) 
3. เป็นที่ยอมรับเพื่อการศึกษาในประเทศใด
ดังที่กล่าวไปข้างต้น ผลสอบ O-NET ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล หรือในประเทศอื่นๆ เพื่อการศึกษาต่อโดยตรง แต่เป็นที่ยอมรับและใช้เฉพาะภายใน ประเทศไทย เท่านั้น
4. มีใช้ในประเทศไทยสำหรับการเรียนระดับไหนบ้าง
ปัจจุบัน การสอบ O-NET ใช้สำหรับการทดสอบในระดับชั้นต่อไปนี้:
  • ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.6): การสอบเป็นไปตามความสมัครใจของผู้เรียนและโรงเรียน
  • ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3): การสอบเป็นไปตามความสมัครใจของผู้เรียนและโรงเรียน
  • ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6): นักเรียนทุกคนที่กำลังศึกษาในระดับ ม.6 จะต้องเข้ารับการทดสอบ (ข้อมูลล่าสุดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ) 
5. ดาวน์โหลดข้อสอบของ 5 ปีที่ผ่านมาได้ที่ใดบ้าง
คุณสามารถดาวน์โหลดข้อสอบและเฉลยคำตอบย้อนหลังได้โดยตรงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. (NIETS): 
  • เว็บไซต์ สทศ.: www.niets.or.th
  • เมนูสำหรับดาวน์โหลดข้อสอบ: โดยทั่วไปจะอยู่ที่หัวข้อ "ข้อสอบและเฉลย" หรือ "บริการข้อมูล" -> "ข้อสอบ O-NET" 
ขั้นตอนการค้นหา:
  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ www.niets.or.th
  2. มองหาเมนูที่เกี่ยวข้องกับ "ข้อสอบ O-NET"
  3. เลือกปีการศึกษาที่ต้องการ (เช่น ปีการศึกษา 2563, 2564, 2565, 2566, 2567) และระดับชั้น (ป.6, ม.3, ม.6)
  4. เลือกวิชาภาษาอังกฤษเพื่อดาวน์โหลดไฟล์ข้อสอบและเฉลย
โดยปกติ สทศ. จะเผยแพร่ข้อสอบและเฉลยบนเว็บไซต์หลังจากการสอบเสร็จสิ้นในแต่ละปีการศึกษา เพื่อให้โรงเรียนและผู้ที่สนใจนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนการสอน 

ข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.schoolbright.co/post/o-net-คืออะไร-มาล้วงลึกเคล็ดลับและวิธีการที่นักเรียนควรรู้



00:00
00:18
00:38

ข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

อาจารย์เสนอว่า โรงเรียนไม่ควรเน้นแค่การสอนให้นักเรียน "ท่องจำคำศัพท์" อีกต่อไป แต่ควรมอบโอกาสให้ผู้เรียนได้ "สัมผัสและใช้ภาษาเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต" เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน

ดังนั้น ผู้เรียนจะไม่ใช่แค่เรียนภาษาอังกฤษเพื่อสอบอีกต่อไป แต่จะใช้ภาษาเพื่อการคิด สื่อสาร และพัฒนาตนเอง การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.1 เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง

แผนการกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับทักษะภาษา แต่ตามรายงานของเว็บไซต์ SOHA ล่าสุดอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้ออกมาเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เกิดผลจริง และการเรียนรู้อาจยังคง "ย่ำอยู่กับที่" หากระบบการศึกษาไม่ยอมเปลี่ยนจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่

อาจารย์ท่านนี้ให้ความเห็นว่า แม้นักเรียนจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเร็วขึ้น แต่ปัญหาหลักคือระบบการประเมินผลที่ผิดพลาด นักเรียนส่วนใหญ่ถูกวัดผลจากความรู้ด้านไวยากรณ์ (Grammar) เพียงเล็กน้อยผ่านข้อสอบปรนัย ทำให้ความสามารถที่แท้จริงไม่ได้รับการตรวจสอบ

ปัญหาหลักที่ทำให้ภาษาอังกฤษไม่ก้าวหน้า

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ระบบการประเมินที่เน้นเพียงแค่ "รูปแบบ" (Form) และไม่ให้ความสำคัญกับ "ความสามารถ" (Competency) ไม่มีการตรวจสอบทักษะสำคัญอย่างการฟัง การพูด การทำความเข้าใจ หรือการแสดงออกอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงสามารถสำเร็จการศึกษาได้ แม้จะไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษจริง สิ่งที่ได้รับการยอมรับคือ "วุฒิการศึกษา" ไม่ใช่ "ความสามารถ" ที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

ขาดสภาพแวดล้อมและการใช้งานจริงคือต้นตอ

สาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ การขาดสภาพแวดล้อมและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษถูกแยกออกจากชีวิตจริงของผู้เรียน ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้ในการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติ

ผู้เรียนจึงไม่ได้รับโอกาสในการฟังสำเนียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้เรียนรู้วิธีการพูดเป็นวลี หรือการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ทำให้เกิดภาวะที่ "รู้คำศัพท์มากมาย แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้" นี่คือจุดที่เราต้องเลือกหนทางที่แตกต่างออกไป



อาจารย์เสนอว่า โรงเรียนไม่ควรเน้นแค่การสอนให้นักเรียน "ท่องจำคำศัพท์" อีกต่อไป แต่ควรมอบโอกาสให้ผู้เรียนได้ "สัมผัสและใช้ภาษาเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต" เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน



arrow_forward_ios
อ่านเพิ่มเติม
00:00
00:18
00:38
ดังนั้น ผู้เรียนจะไม่ใช่แค่เรียนภาษาอังกฤษเพื่อสอบอีกต่อไป แต่จะใช้ภาษาเพื่อการคิด สื่อสาร และพัฒนาตนเอง การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.1 เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จ